วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Mayonaka no Nocturne

真夜中のノクターン (Midnight Nocturne)
CV : Sakuma Ritsu (Daiki Yamashita)


Yubisaki o terasu gekkou yoru ni mau gosen
Nemuri no mori sarawareta mama aenai kimi o omotte
แสงจันทร์ที่ถูกสาดส่องลงมาบนปลายนิ้ว เสียงดนตรีที่ถูกบรรเลงในยามค่ำคืน
กับดักที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในป่าแห่งการหลับใหล ฉันมัวแต่คิดถึงเธอ ที่ฉันไม่อาจไปอยู่เคียงข้างได้

Dare mo inai kurayami no naka sobani kanjiteru yo
Taiyou ni tokesou na hohoemi ga kirei da
ภายในความมืดมิดอันโดดเดี่ยว ฉันรู้สึกได้ว่ามีเธอที่อยู่เคียงข้างฉัน
รอยยิ้มที่งดงามของเธอเหมือนจะสามารถหลอมรวมไปกับดวงอาทิตย์ได้

Kesshite mazari aenai sekai demo
Ima wa kodoku janai ne
แม้ว่าจะเป็นในโลกที่เราไม่สามารถพบเจอกันได้
แต่ฉันก็ไม่ได้อยู่แต่เพียงลำพังรอกนะ

Mayonaka sono neiki ni Song for you
Yorisou youna senritsu o kanaderu kara
เมื่อมาถึงเวลาเที่ยงคืน เมื่อเธอหลับลงจนสนิทแล้ว เธอจะได้ยิน Song for you
เพราะว่าฉันกำลังบรรเลงท่วงทำนองที่เชื่อมโยงเราเข้าหากัน

Piano to tsuki to kimi dake ga sukitouru sora de
Tada yasashiku nagai toki sae kokoro no kataite kureta
มีเพียงแค่เปียโน ดวงจันทร์ และเธอที่อยู่ภายใต้ฟ้าโปร่งนี้
ทุกอย่างถูกเก็บเอาไว้อย่างอ่อนโยนภายในก้นบึ้งของจิตใจของฉัน

Taikutsu no omomuku mama ni yubi o odorasete wa
Kanawanai koi ni nita setsunasa o shiru kedo
เมื่อความเบื่อหน่ายเริ่มเข้าครอบคลุม ปลายนิ้วของฉันก็เริ่มขยับบรรเลง
ฉันเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ ความรู้สึกของความรักที่ไม่สามารถตอบรับได้ แต่ว่า...

Kesshite wakachiaenai sekai demo
Kimi o miushinawanai
แม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่ไม่สามารถเชื่อมถึงกันได้
ฉันก็จะไม่มีวันละสายตาไปจากเธอ

Doko ni ite mo kawarazu Song for you
Eien no yakusoku o kanaderu kara
ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน เพลงนี้ก็จะยังคงเป็น Song for you
เพราะว่าฉันกำลังบรรเลงเพลงที่เป็นดั่งสัญญานิรันด์นี้ออกมา

Kikoenakute mo koko ni iru
Todokanakute mo kimi to iru kara
Futari o musubu aojiroi tsuki
Saa, me o tojite utaou ka
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินเสียงของฉัน แต่ว่าฉันก็อยู่ตรงนี้
แม้ว่ามันจะไม่สามารถส่งไปถึงเธอได้ แต่ว่าฉันก็อยู่เคียงข้างเธอเสมอ
ดวงจันทร์สีฟ้าซีดเป็นสิ่งที่เชื่อมเราสองคนเข้าด้วยกัน
เอาล่ะ หลับตาลงสิ แล้วมาร้องเพลงไปด้วยกัน

Kesshite mazari aenai sekai demo
Kyou mo doko ka kimi no yoru e
Mayonaka sono neiki ni Song for you
Yorisou youna senritsu o kanaderu kara
แม้ว่าจะอยู่ในโลกที่พวกเราไม่อาจพบเจอกันได้
และอีกครั้ง ฉันจะก้าวข้ามผ่านไปหาเธอที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้านี้
เมื่อมาถึงเวลาเที่ยงคืน เมื่อเธอหลับลงจนสนิทแล้ว เธอจะได้ยิน Song for you
เพราะว่าฉันกำลังบรรเลงท่วงทำนองที่เชื่อมโยงเราเข้าหากัน

==================================
เอาเพลงของริทสึมาลงคั่นนะคะ กลัวคิดถึงกัน 555555

เป็นเพลงมที่นึกถึงคู่ริทสึกับมาคุงตลอดเวลาเลยจริงๆ ค่ะ 5555

ตอนนี้ยังไม่มีอะไรจะเอามาลงเป็นพิเศษ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ

จริงๆ คิดจะแปล Magician Assemble มาลง แต่ว่ายังไม่คล่องภาษานัทสึเมะซักเท่าไหร่

ยังไงอาจจะทยอยเอา Knights มาลงก่อน อย่าเพิ่งเอียนกันนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่า

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Reminiscence * Monochrome Checkmate - Epilogue 3



Checkmate epilogue3

ผู้แปล : Graciozo



สถานที่ : ที่นั่งริมสวน


เอย์จิ : เธอก็รู้ ผมมักจะชอบคิดว่าผมกับเขาน่ะ เหมือนกัน ผมมองว่าเขาทั้งตัวบางและเล็ก เหมือนกับเด็กผู้หญิง...


ในโลกของผู้ชาย สุขภาพและพละกำลังเป็นเรื่องพื้นฐานที่พวกเราใช้วัดกัน เขาดูเสียเปรียบในส่วนนั้น


ผมเข้าใจว่าเขาคงจะรู้สึกท้อแท้แล้วก็ก้าวร้าวขึ้นมา ความด้อยค่าที่อยู่ภายใต้นั้น


เขาน่ะ โอบกอดความฝันและความหวังที่เหมือนกับผมเอาไว้ เขาเป็นเหมือนกับใครบางคนที่พยายามวิ่งไปให้ถึงเป้าหมายเดียวกัน


เพราะงั้นผมก็เลยรู้สึกว่าจะเข้าใจความรู้สึกของเขา ต่อความอับอาย ผมผิดไปแล้ว


ผมเข้าใจว่าเขาเห็นใจ แล้วก็อยากจะสนับสนุนผม ต่อสู้เคียงข้างผม... เพราะงั้นในตอนที่ผมนอนอยู่ในโรงพยาบาล ผมก็เลยให้เขาทำสิ่งที่ผมอยากทำ ในตอนที่ผมไม่สามารถเคลื่อนไหวเองได้


แล้วสิ่งที่ผมต้องการก็คือนำการปฏิวัติเข้ามาสู่ยูเมะโนะซากิ และวงการไอดอล เพื่อการนั้นแล้ว ผมต้องการที่จะบีบคั้นความเน่าเฟะทั้งหมดนั่นออกไป


ในตอนนั้น ผมเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่ตลอด ก็เลยมีปัญหา หากจะต้องทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง


มันเป็นก้าวแรกของผม แล้วก็เป็นบางอย่างที่ไม่เคยมีใครเคยลองทำมาก่อน... แล้วผมก็ไม่ได้มีใครที่สามารถเชื่อใจได้มากนักหรอก เพราะงั้นผมก็เลยต้องใช้เขาเป็นคนแรก


ในระหว่างที่ผมพยายามจะให้เขาซึมซับเข้าไปด้วยความรู้สึกที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผมก็ใช้สภานักเรียนสร้างแผนใหม่ขึ้นมาอีกแผน...


แล้วก็ทั้งภายนอกและหลัง ผมก็พยายามจะควบคุมเขาเอาไว้อย่างลับๆ


มันก้าวหน้าไปได้ด้วยดีเลยล่ะ สำหรับส่วนมากน่ะนะ


ผมทำลายกลุ่มใหญ่ๆ อย่าง Chess ใช้ Judgment ลบล้างสิ่งที่เน่าเหม็น... ใช้ Duel เพื่อฆ่าศัตรูทิ้ง เป็นเหมือนกับโรคระบาดที่แพร่เข้ามาจากภายนอก


Judgment ถูกใส่เอาไว้ว่า J Duel คือ D แล้วก็ดรีมเฟสอื่นๆ จะถูกเขียนเอาไว้ว่า O...


เพื่อความสะดวก ผมก็เลยแบ่งมันไปตามตัวอักษรสำหรับงานเอกสารของพวกสภานักเรียน


ส่วนตัวหนังสือยิบย่อยที่เหลือในระบบที่แม้แต่ตอนนี้มักจะถูกเรียกในดรีมเฟสว่า S1 หรือ A1 และแต่ประเภทของมัน


ดูเหมือนว่าผมจะพูดนอกเรื่องแล้วสิ


ในประเด็นนี้ ดรีมเฟสในช่วงนั้นมันก็ยังเป็นแค่การทดลอง... มันยังเป็นต้นฉบับที่ยังคงหยาบอยู่ เพราะงั้น มันจะไม่มีอะไรที่สามารถการันตีว่าจะสามารถทำงานได้ดีได้


เพราะงั้นผมก็จะต้องแบกรับความรับผิดชอบเกี่ยวกับความผิดพลาดในส่วนนั้นเอาไว้ ผมก็จะต้องหาใครบางคนที่จะทำงานในจุดนั้นไว้ ถ้าจะพูดอีกอย่าง คนคนนั้นก็คือทสึกินากะคุง


เขาเป็นตัวเอกตัวแทนของผม ต้องขอบคุณเขา ผมเลยสามารถเก็บข้อมูลความเป็นจริงที่สำคัญ แล้วก็ลบสิ่งสกปรกส่วนนึงออกจากโรงเรียนไปได้


แน่นอนว่าพวกเราอาจจะเรียกมันว่าสงครามหรืออะไรทำนองนี้ แต่ว่ามันกลับไม่มีซากศพให้เห็นเลย


ความพ่ายแพ้ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับเจ้าพวกที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล แต่หลังจากการปฏิวัติครั้งนั้น ผมก็เลยทำให้พวกนั้นกลายเป็นผู้สนับสนุนของผม


ทสึกินากะคุงก็ก้าวหน้าขึ้นเหนือยิ่งกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้ แล้วก็แข็งแกร่งจนเกินไป...


เพราะงั้นการที่จะทำให้มันจบลง ผมก็เลยต้องเตรียม Checkmate เอาไว้ หลังจากที่อาการของผมคงที่แล้ว


Checkmate... เป็นดรีมเฟสเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนไว้ว่าเป็นตัว C และเป็นทางแยกของเรื่องนี้


หลังจากนั้น ตัวเอกก็ได้เปลี่ยนไป ผมเข้าไปในเรื่องราวนั้น เคลื่อนไหวไปโดยหมายว่าจะเอาชนะเหล่าห้าประหลาด


ทสึกินากะคุงเองก็เหนื่อยกับบทบาทของตัวเองแล้วล่ะ มันคือในตอนที่เขากำลังเข้าไปสู่จุดที่กำลังตกต่ำ


หลังจากที่เขาเอาชนะสหายเก่าของตัวเอง คนแล้วคนเล่า เขาก็เริ่มจะถูกคนทุกคนเกลียดชัง แล้วก็ไม่สามารถเอาชนะดรีมเฟสได้อีกต่อไป...


แล้วหลังจากนั้น เขาก็ร้องหาความยุติธรรม เหมือนกับ Don Quixote แล้วก็พยายามที่จะต่อสู้กับตัวร้ายต่อไป


พวกเราค่อนข้างกังวลกับเรื่องเดียวกัน เพราะงั้นก็เลยมีหลายครั้งที่พวกเราได้ต่อสู้ร่วมกันเช่นกัน


แต่ยังไงก็ตาม ความสัมพันธ์แบบนั้นของพวกเราก็ไม่ได้อยู่นานหรอก


หลังจากเรื่องราวทั้งหมด เขาก็สามารถเดาแผนการที่ผมวางเอาไว้ได้ แล้วเขาก็ชอบพูดลอยๆ ขึ้นมาว่า "นายนี่เจ้าแผนการจริงๆ เลยน้า~" แล้วก็ท้าทายผมอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็โต้กลับ


หลังจากนั้นเขาก็จนมุมจนได้ แล้วก็ไม่มีใครคิดจะฟังคำจากปากของฮีโร่ที่ล่วงลับหรอก สุดท้ายเขาก็ถูกเหยียดหยามและขับไล่


ปกติผู้คนมักจะเข้าหาผมด้วยความเห็นใจ บอกว่าเขารู้สึกว่าเรื่องราวของผมมันแย่นะ พวกเขาเห็นใจผม


ผมเลยใช้ประโยชน์จากคนพวกนั้นที่กล้าเข้ามาเล่นกับไฟของการปฏิวัติของผม เขาถูกเผา แล้วก็หายไปในที่สุด... แล้งทุกอย่างก็เป็นแบบที่ผมวางแผนเอาไว้


เป็นเหมือนกับราชาไร้อำนาจผู้โง่เง่า พวกเธอทำได้แค่อับอายขายหน้าตัวเองที่ปล่อยให้ถูกหลอกใช้ ผมเองก็แสดงความเสียใจด้วยนะ แต่ผมก็คิดว่าผมเป็นคนสุดท้ายสำหรับเธอ ที่อยากจะให้เข้าใจความรู้สึก


มันคือสงคราม ผู้คนที่ถูกหลอกใช้ก็เป็นฝ่ายผอดเสมอ ส่วนผู้ชนะก็จะเรียกว่าเป็นผู้ที่ยุติธรรม


แน่นอนว่าผมเองก็รู้สึกแย่เหมือนกัน แต่ผมก็ยังพยายามจะบอกตัวเองแบบนั้น... แล้วผมก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งที่พวกเธอหลงเหลือเอาไว้


อย่างน้อยของที่ใช้สังเวยไป ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว... สิ่งที่ผมทำตอนนี้ คือการยืนยันไงล่ะ



อิซึมิ : ……



เอย์จิ : ฮึฮึ นี่หมายความว่าการใช้อัจฉริยะอย่างเขา ทสึกินากะคุง ทำให้ฝันของพวกเราทั้งคู่เป็นจริง


พวกเราทำผิดกันทั้งคู่ เซนะคุง ผมไม่ได้โกหกหรอกที่ว่าผมน่ะ เห็นใจเธอนะ


ผมจะดีใจ ถ้าเกิดหลังจากนี้พวกเราจะสนิทกันได้ สนใจจะร่วมมือกันหรืออะไรซักหน่อยมั้ย?


...อย่าเอาความเศร้าหมองมาเป็นข้อแก้ตัวหรือการปฏิเสธเลย เหมือนกับที่ว่าเธอไม่อยากจะยุ่งกับผมหรืออะไรแบบนั้น



อิซึมิ : ฉันไม่พูดอะไรแย่ๆ ออกไปหรอก ถ้าเกิดฉันทำร้ายนาย เขาต้องโกรธฉันแน่ๆ อยู่แล้ว



เอย์จิ : ตกลง ถ้าเกิดเป็นแบบนั้น การจับมือ... กับการสร้างข้อตกลงนี้ พวกเราจะเรียกมันว่าการกลับมาสู่สนามรบได้มั้ยนะ? หรือจะพูดอีกอย่าง พวกเราจะได้เห็นจุดจบของหมากรุกในตานี้รึยัง?



อิซึมิ : ไม่ว่าจะฉันหรือนาย ก็ไม่มีเวลาที่จะเล่นไปเรื่อยหรอกนะ จริงมั้ย? ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็ไม่ได้ต้องการบทสรุปของมัน


มันไม่ใช่เรื่องของฉันที่จะต้องพูดอะไรอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะตายไปแล้งซักหน่อย มันยังมีความเป็นไปได้ แม้จะน่อยนิด แต่เขาก็อาจจะกลับมา...


มันคงจะเจ็บปวดไม่น้อย ที่จะต้องดวลกันในนามของเขาทั้งๆ แบบนี้ เพราะงั้นจะขอยกที่เหลือให้หมอนั่นแล้วกัน



เอย์จิ : ...คิดจริงๆ เหรอว่าทสึกินากะคุงจะกลับมาน่ะ?



อิซึมิ : ไม่มีใครรู้หรอกว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น จริงมั้ย? แต่ว่าก็เหมือนเดิม ฉันก็แค่คิดว่ามันคงจะดี ถ้าเขากลับมาจริงๆ


ไว้เจอกัน เท็นโชวอิน มันจะหนาวนะ ถ้าเกิดพระอาทิตย์ตกเมื่อไหร่ เพราะงั้นรีบกลับเข้าไปข้างในแล้วกัน นายยังต้องฟื้นตัวอยู่นะ? ดูแลตัวเองซะบ้างล่ะ



เอย์จิ : ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะ นั่นก็จริง ในที่สุดผมก็ได้ออกมจากโรงพยาบาลแล้ว ในที่สุด... บางทีผมก็อาจจะไปเดินเล่นรอบๆ อีกซักหน่อยนะ


เจ้าหนูโรบินตายไปแล้ว จะไม่มีวันได้ยินเสียงร้องของเขาอีก แต่ว่าก็เป็นแค่ในอดีต และอาจจะเป็นซักวันนึงในอนาคต มันอาจจะยังหลงเหลือเสียงร้องที่ก้องกังวานนั่นอยู่


==========================================

จบไปแล้วนะคะ กับสตอรี่ Checkmate


อ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างคะ


เนื้อเรื่องเป็นไปตามที่เดากันไว้รึเปล่าคะ ฮาา


ส่วนตัวรู้สึกสตอรี่นี้เป็นพาร์ทที่ชอบที่สุดเลย ได้เห็นอารมณ์ของเลโอในหลายๆ มุม ได้เห็นว่าเมื่อก่อนเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง


แอบเสียดายที่เป็นพาร์ทที่แปลมาตั้งแต่ตอนที่หัดแปลแรกๆ ภาษาอาจจะได้ไม่ดีเท่าที่ควร ในส่วนนี้ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ


ขอบคุณที่อ่านกันมาจนถึงตอนจบนะคะ หวังว่า ครอบครัวอันสึตะในไทยจะใหญ่ขึ้นมาบ้าง


แล้วพบกันอีกค่า :3

Reminiscence * Monochrome Checkmate - Epilogue 2



Checkmate epilogue2

Location: Garden Terrace


อิซึมิ : แต่ในความจริงแล้ว เจ้าพวกใน Chess ก็เป็นเพื่อนและพวกพ้องของเขา ที่ต้องการเพียงแค่ให้เขาแต่งเพลงขึ้นมาให้

นั่นคือสิ่งที่พวกนั้นต้องการ แน่นอนว่า เขาทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากแต่งเพลง

พวกนั้นต้องการเพียงแค่อาวุธของเขา ที่มันเรียกได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ— เพียงแค่ "ทสึกินากะ เลโอ อัจฉริยะคนนั้น"

ในตอนแรกๆ นั่นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วล่ะ เขาดีใจที่ถูกคนอื่นยอมรับ แต่ว่า...

พวกนั้นก็ยังคงใช้งานเขาอยู่เรื่อยๆ ด้านที่เป็นแค่เด็กน้อยของเขาก็เริ่มจะรู้สึกเหลืออดเหมือนกัน แล้วก็เริ่มที่จะก้าวร้าวขึ้นมา... แล้วมันก็ทำให้เขาพังทลายลงในที่สุด หยาดเลือดหยดไหลออกมาเพราะบาดแผลมันอาจจะเป็นแบบนั้น เพราะว่าเขาอ่อนแอ และอาจจะเป็นไปเพราะสิ่งที่นายยัดเยียดให้เขา และมันก็ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่ดีเหมือนอย่างชีวิตธรรมดาๆ และทั้งหมดนั่น มันก็คือความผิดของฉันเอง

แต่มันก็คือความประมาทในการตัดสินใจของพวกเรา พวกเราเรียกตัวเองว่า Knights แล้วฉันก็กลายมาเป็นอัศวิน แต่ฉันกลับปกป้องเขาเอาไว้ไม่ได้

ฉันมักจะวางตัวให้ดูเย็นชาเสมอ มันคงจะน่าอับอายเกินไปที่ฉันจะแสดงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองออกมา

ไม่สำคัญว่าจะอีกกี่ครั้งที่เขาพูดแล้วพูดอีก ว่าเขารักฉัน ฉันก็มักจะเถียงกลับไปทุกครั้งว่าฉันไม่ชอบเขา และแน่นอนว่าพวกเราไม่ใช่เพื่อนกันด้วย

แต่เพราะเขาเป็นแค่ไอ้โง่ เขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรที่ฉันพูด

แม้ว่าเขาจะทำลายทุกอย่าง แล้วถูกทุกคนรังเกียจ เขาก็ยังพยายามที่จะปกป้องฉัน...

เขายังคงปกป้องความฝันของฉันไว้

แต่ว่าฉันกลับไม่เคยพูดขอบคุณเขาแม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็ยังเอาแต่ต่อว่าเขาอย่างไร้ที่สิ้นสุด... ฉันไม่แม้แต่จะสำนึกได้ จนทุกอย่างได้พังทลายลงไปแล้ว

แม้ว่าในตอนนี้ฉันจะสำนึกได้แล้ มันก็ยังสายเกินไปที่จะเสียใจ เขาไม่สามารถรู้สึกอะไรได้อีกแล้ว เขาไม่สามารถขยับได้ และไม่สามารถก้าวไปได้อีกแล้ว...

เขาถ่มน้ำลายลงไป และถูกทุกอย่างที่เขารักปฏิเสธในที่สุด

แน่นอนว่าสิ่งนี้มันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่มีใครทนกับเรื่องแบบนี้ได้หรอก ไม่ว่าจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะ หรือปีศาจ... ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ถูกใครใส่ใจหรอก

มันไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาอ่อนแอหรอก

เท็นโชวอิน บางครั้งฉันก็คิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง แล้วก็คิดว่านายน่าจะรู้สึกแบบเดียวกันอยู่ด้วย

ฉันกำลังคิดว่ามันน่าจะดีแค่ไหน หากเวลามันหยุดอยู่เพียงแค่ตรงนั้น ในตอนที่พวกเรามีเพียงแค่ความสุ แล้วก็ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับความฝันซะ

พวกเราก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องคงานหาจุดยืนของตัวเราเอง จะดีแค่ไหน หาก Knights มีเพียงแค่ฉันกับเขาแค่สองคน...

พูดคุยเรื่องไร้สาระ หัวเราะไปด้วยกัน ใช้ชีวิตเหมือนกับวันรุ่นธรรมดาทั่วไป

ถ้าเกิดได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขโดยไม่มีอะไรแตกสลายไป ถ้างั้นในตอนนี้... เขาก็คงนั่งยิ้มอยู่เคียงข้างฉั ฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้หลายร้อยเท่า

แต่พวกเราไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว พวกเรายึดมั่นกับความทะเยอทะยาน ที่จะดันพวกเราไปสู่ความฝัน สู่อนาคต ต่อสู้และย้อมร่างกายไปด้วยเลือด แล้วก็มาสู่จุดนี้

เราไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตได้ และก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งเสียใจอีกด้วย

นั่นคือสาเหตุว่าทำไมฉันถึงได้บอกว่านี่ไม่ใช่บทสนทนาที่พวกเราควรจะเริ่มขึ้นมา

เหมือนกับที่นายขอเอาไว้ พวกเราจะเคลื่อนไหวอย่างที่นายต้องการใน DDD

พวกเราจะช่วยนาย เพื่อเข้าปะทะกับ Trickstar

ยังไงก็ตาม ฉันจะคอยดูแลยูคุง ครั้งนี้ฉันจะปกป้องเขาเอาไว้ให้ได้ และจะไม่ให้ใครชิงเขาไปอีกแล้ว

ฉันรักเขา แม้ว่าเขาจะเกลียดหรือกีดกันฉัน... ฉันจะปกป้องเขาไว้ เพื่อให้เขายังคงอยู่ในความสวยงามอย่างที่เขาควรจะเป็น


เอย์จิ : นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมหรอก ผมก็ตั้งใจจะขอให้เธอทำอยู่แล้ว

ผมกำลังคิดหาทางที่จะทำลาย Trickstar แต่สำหรับการที่จะทำให้พวกนั้นเข้ามาร่วมกับ fine... ผมไม่ค่อยมั่นใจซักเท่าไหร่

จะช่วยได้มากเลย ถ้าเกิดเธอจะพาใครซักคนในนั้นมาให้ผมได้น่ะ พยายามดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดล่ะ ไข่น่ะ มันบอบบางนะ

...เซนะคุง บางครั้งผมเองก็คิดเหมือนกันนะ

มันจะดีแค่ไหน ถ้าเกิดผมจะได้อยู่บนเตียงที่โรงพยายาบไปตลอด แล้วก็มีเพื่อนๆ เข้ามาคุยสัพเพเหระด้วยเสมอ

ผมคงจะมีความสุขเพราะเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน...

แต่ในการที่พวกเราจะต้องไล่ตามความฝัน พวกเราก็ต้องจ่อปลายดาบเข้าไปในสนามรบ แล้วชำระล้างร่างกายด้วยเลือดของพวกพ้อง พวกเราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้อีกแล้วล่ะ

หลังจากที่ผมได้คุยกับเธอ ในที่สุดผมก็เข้าใจซักที— สาเหตุว่าทำไมผมถึงไม่มีวันได้บทสรุปในการเล่นหมากรุกกับทสึกินากะคุง

ถ้าเกิดเกมจบลงเมื่อไหร่ เวลาความสนุกของพวกเราก็จะหมดลง ในการสร้างการแข่งขันซักอย่างขึ้นมา มันก็จะกลายเป็นการแบ่งแยกระหว่างผู้แพ้และผู้ชนะเสมอ และเมื่อเวลานั้นมาถึงแล้ว เธอก็จะไม่สามารถเป็นได้แม้แต่เพื่อนหรืออะไรก็ตาม

เหมือนกับเด็กตัวเล็กๆ ผมอยากจะเล่นกับเขาไปเรื่อยๆ และไปตลอด...

แต่ผมต้องการจะชนะ ผมอยากจะได้เป็นคนที่สามารถใช้ชีวิตอย่างแข็งแรงภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์

สาปแช่งความมองในแง่ลบ ความเห็นแก่ตัว ความเจ็บไข้ของตัวผมเอง...

ผมอยากจะเหยียบสิ่งที่ทำให้ผมต้องอิจฉาลงไปซะให้จมดิน ในขณะที่ผมได่หัวเราะเย้ยหยัน เพื่อเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเชื่อมั่น และสาเหตุที่ทำให้ผมต้องการจะใช้ชีวิตอยู่

ในส่วนมากนั้น ผมได้บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วล่ะ สิ่งที่ผมเสียสละไปเพื่อมัน— ถ้าเกิดผมหยิบมันกลับขึ้นมาแล้วจับตามองมันล่ะก็ มันก็คงจะกลายเป็นแค่อะไรที่ไร้ค่า

...กลับมามองในตอนนี้ ทสึกินากะคุงก็คือผมที่ผิดพลาด ผมซึ่งไม่สามารถเป็นได้แม้แต่กฏหรือราชา

เขาอ่อนโยนเกินไป ใสซื่อบริสุทธิ์ และรักคนอื่นมากเกินไป...

เขาไม่สามารถกลายเป็นราชาที่ไร้หัวใจไปได้หรอก ปีศาจจะต้องไร้ความเป็นมนุษย์..เป็นแค่คนอ่อนแอ แค่คนโง่

====================================
อีกพาร์ทเดียวจะจบแล้วนะคะ T v T หัวใจของคนแปลโดนบีบ--

Reminiscence * Monochrome Checkmate - Epilogue 1


Checkmate epilogue1

Location: ที่นั่งริมสวน

เอย์จิ : เอาล่ะ แล้วตอนนี้เธอเริ่มจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างรึยังล่ะ... เซนะคุง?

ผมอยากให้เธอรีบๆ คิดได้แล้วนะ ว่าจะเดินตัวหมากตัวไหนต่อน่ะ

ผมรอนานกว่านี้ไม่ไหวแล้วนะ รู้มั้ย

ผมยุ่งนะ แล้วเธอก็ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไรด้วย

ยังไงผมก็หาคนอื่นมาแทนได้เสมอแล้วล่ะ ถ้าเกิดผมพึ่งพาเธอไม่ได้น่ะนะ

แต่ยังไงผมก็คิดว่าเธอคงเลือกที่จะนั่งอยู่บนม้าที่สามารถพาเธอเข้าไปสู่เส้นชัยให้ได้อยู่แล้วล่ะ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่อัศวินที่น่าทึ่งที่จะสามารถควบคุมม้าพันธุ์ดีๆ เอาไว้ได้หมด แม้ว่ามันจะพยศซักแค่ไหนก็ตาม


อิซึมิ : ...อย่างที่ฉันคิดเอาไว้ ทุกอย่างที่นายทำมันก็เป็นแค่คำโกหกคำโตสินะ

นายยังไม่ได้อยู่ใกล้กับชัยชนะที่แน่นอนเลยนี่ แล้วที่นายพูดว่ารุกฆาตขึ้นมา นี่เพื่ออะไร...

ถ้าเกิดฉันเดินตัวหมากไปแบบนี้ ฉันก็จะออกจากสถานการณ์วิกฤตตรงนี้ได้ ตานี้มันยังอยู่ห่างไกลจากจุดจบอยู่หรอก จริงมั้ย?

พูดให้คนอื่นหลงกล หลอกลวง ให้คนอื่นเข้าใจว่านายเป็นผู้ชนะ...

เพื่อทำให้คนอื่นสับสน อยู่ในการควบคุมของนาย สร้างอาณาจักรแห่งภาพลวงตาของนายขึ้นมา


เอย์จิ : ผมคงไม่ปฏิเสธเรื่องนั้นหรอก จนกว่าผมจะจบมันได้ ผมก็ไม่มีวันชนะหรอกนะ แต่ว่าผมก็ไม่อยากจะแพ้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

ผมไม่สามารถห้ามตัวเองให้เล่นอย่างยุติธรรมเสมอได้หรอก ผมไม่อยากจะให้ใครแย่งมันไปจากผมทั้งนั้น... แล้วผมก็จะไม่มีวันเสียใจภายหลั ผมก็จะไม่รู้สึกด้วย

ไม่ว่าจะถูกสร้างภาพลวงตาขึ้น หรืออะไรก็ตาม ชัยชนะก็คือชัยชนะ ผู้ที่จะได้อยู่จนถึงในตอนจบและเหมาะกับคำว่าชัยชนะย่อมเป็นผมอยู่แล้ว


อิซึมิ : อืม ดีใจด้วยะ

นายชนะแล้ว ดีใจด้วยแล้วกัน


เอย์จิ : ……


สึคาสะ : รุ่นพี่เซนะ~!

ผมตามหาคุณซะทั่วเลย แล้วคุณก็มาฆ่าเวลาเล่นอยู่ในสถานที่แบบนี้อีกต่างหาก!

ผมพูดเลยนะ ตอนนี้ผมร้องเพลงที่คุณสั่งมาได้แล้วล่ะ!

เพราะแบบนี้ ผมก็จะถูกพิจารณาให้เป็นสมาชิกของ Knights แล้วใช่มั้ยครับ!?

นั่นคือข้อตกลงที่คุณวางเอาไว้ใช้มั้ยครับแล้วก็แน่นอนว่า ผมอยากจะเข้าร่วม DDD ที่คุณพูดถึงไว้ตอนนั้นด้วย!

ผมยินดีโดยไร้ข้อโต้แย้งเลบครับตอนนี้แหละ พวกเรารีบไปเริ่มฝึก Lesson สำหรับ DDD ด้วยกันเลยเถอะครับ...!


เอย์จิ : ฮึฮึ ผมดีใจนะ ที่เห็นเธอกระตือรือร้นแบบนี้ สึคาสะคุง แต่ว่าการที่เธอตะโกนโหวกเหวกแบบนี้มันดูหยาบคายนะ รู้มั้ย?


สึคาสะ : เอ๊ะ!? อ๊ะ อื๋อ... หวา—?

รุ่นพี่เซนะคุณรู้จักคนคนนี้ด้วยเหรอพวกคุณมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่เนี่ย!?


อิซึมิ : ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของฉันไง ...ยังไงก็เถอะ ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวจะรีบตามไปที่ห้องซ้อมก็แล้วกัน เพราะงั้นตอนนี้ช่วยไปก่อนเถอะ ตอนนี้พวกฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันนะ คาสะคุง


เอย์จิ : อื้ม ผมขอยืมตัวเซนะคุงอีกซักแป๊ปนึงนะ ขอโทษทีนะ


สึคาสะ : -ครับ ถ้าเกิดเป็นคำพูดของท่านพี่เท็นโชวอินล่ะก็ ผมจะทำตามแล้วกัน

แต่ว่าช่วยทำตามสิ่งที่คุณพูดด้วยนะครับ แล้วรีบตามมาที่ห้องซ้อมหลังจากนี้ด้วย นะครับ... รุ่นพี่เซนะ?

เดี๋ยวผมจะล่วงหน้าไปก่อนแล้วทำความสะอาดห้องไว้รอนะครับแล้วก็อาจจะไปรวบรวมตัวสมาชิกคนอื่นของ Knights มาด้วย!

เพราะงั้นในตอนนี้ ขอตัวก่อนนะครับตามสบายเลยนะครับ... 


เอย์จิ : บ๊ายบายย

อะฮะฮะ เธอเรียกเขาว่า "คาสะคุงงั้นสินะน่ารักจริง ชื่อเล่นเนี่ย...

ผมคิดว่าสึคาสะคุงคงจะดีใจมากเลยล่ะ เพราะว่าคนส่วนมากมักจะเว้นระยะห่างจากเขา เพราะว่าเขาเป็นเศรษฐี

นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้ดีใจมากๆ... ที่ได้เป็นเพื่อนกับใครซักคนที่สามารถเล่นกันได้ จากการที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ มากกว่าการที่มาตามคำขอของคนอื่...

ในการที่ได้พบกับทสึกินากะคุง ผมคิดว่าคงจะเป็นโชคดีโดยแท้จริงเลยแหละ

แต่ก็น่าดีใจสำหรับผมล่ะนะ ความเป็นเพื่อนทุกอย่างของเขากับผมในตอนนี้แตกสลายอย่างไม่เหลือชิ้นดีแล้วล่ะ


อิซึมิ : นี่ เท็นโชวอิน ฉันรู้หรอกว่านายคงเบื่อที่จะได้ยินอะไรแบบนี้แล้ว แต่คิดว่าตัวเองเป็นใครไม่ทราบมันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าทุกอย่างมันจะเป็นความผิดของนาย

คนคนนั้น— เลโอคุง... มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกที่เขาถูกทำลายแบบนั้น

แน่นอนว่าเขาก็ได้เข้ามาสู้กับนายอยู่หลายรอบ แล้วก็สร้างปัญหาให้นายอยู่เสมอ

แต่ความจริงแล้วเรื่องทั้งหมด มันเป็นความผิดของฉันต่างหาก

"อินสปิเรชั่น มันมาแล้ว มาแล้ว"

เขามักจะพูดแบบนี้เสมอ เวลาที่พวกเราได้เจอหน้ากัน

เขาชอบบอกว่า เพียงแค่ได้มองหน้าฉัน เขาก็สามารถสร้างผลงานขิ้นเอกขึ้นมาได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดแล้ว

มันอาจจะฟังดูหยิ่งผยอง แต่ว่าคนที่มอบไอเดียทั้งหมดให้เขาก็คือฉัน

ด้วยแรงจูงใจจากอารมณ์และบทบาทของฉัน และเขาก็ด่างพร้อยไปด้วยความมุ่งร้าย

ฉันมันก็เป็นแค่ไอ้คนไม่สมประกอบที่ไม่เคยจะพอใจกับอะไรซักที และอยากจะถูกยอมรับใจจะขาด...

ในความต้องการที่จะทำลายเจ้าพวกที่คิดจะกีดกันฉันออกไป สุดท้ายฉันก็จมลงไปในความทะเยอทะยานของเขาเช่นกัน

เขาเป็นเหมือนกับเด็กน้อยที่บริสุทธิ์และใสซื่อ แล้วฉันก็เป็นคนที่ทำให้เขาเต็มไปด้วยรอยด่างพร้อย

เขาทำมันเพื่อฉัน เขายอมโยนความดีในหัวใจทั้งหมดของเขาทิ้งไป แค่เพราะเป็นความต้องการและเป็นสิ่งที่ฉันพยายามค้นหา จากในส่วนลึกของหัวใจของฉัน เขาบดขยี้และทำลายทุกอย่างที่ฉันเกลียด

ความโกรธแค้นเริ่มก่อตัวขึ้นมารอบๆ ตัวของพวกเรา

มันสร้างความเกลียดชังขึ้นมา และก็เริ่มที่จะส่งผลกระทยต่อผลโหวตของพวกเรา...

และในดรีมเฟส ไม่สำคัญว่าเขาจะสร้างผลงานชิ้นเอกขึ้นมายังไง ชื่อเสียงของเขาก็มีแต่จะดำดิ่งลงไปยิ่งกว่าเดิม

เขาทนมันไม่ไหว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแค่คงโง่ๆ มาตลอดก็ตาม...

ชีวิตที่จะต้องทำร้ายและฆ่าคนต่อไปเรื่อยๆ ทุกวัน ทุกวันน่ะ มันยากเกินกว่าที่เขาจะทนแบกรับมันเอาไว้ได้แล้ว

มันทำให้คำพูดและการกระทำของเขาดุร้ายขึ้น และโหดร้ายกว่าเดิม...

และนั่นก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกกลัว และรังเกียจเขา แฟนๆ ที่เคยชอบเขาเพราะเขาทั้งอ่อนโยนและน่ารักก็ค่อยๆ หายไปทีละนิด..

คนที่เคยเป็นเพื่อนพ้องของเขาก็ค่อยๆ กระจายข่าวลือที่น่ารังเกียจของเขาออกไปเรื่อยๆ แล้วคนที่ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นก็เริ่มจะเชื่อในข่าวลือนั่น...

แต่ยังไงก็ตาม แม้ว่าเขาจะได้รับมัน และไม่สำคัญว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม เขาก็ยังคงทำตามใจชอบอยู่เหมือนเดิมเสมอ

เพราะสิ่งสิ่งนั้นได้เกิดขึ้น เขาจึงแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี นายเองก็ได้ไปเจอเขามาเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ...

เขาคอยหลบๆ ซ่อนๆ มาเป็นระยะแล้ว แต่เขาก็เริ่มจะหมดกำลังใจทร่จะขอโทษนายแล้วใช่มั้ย?

เพราะว่าเขาเองก็ขอโทษฉัน "ฉันขอโทษ ฉันขอโทษเขาพูดแบบนั้น... ความผิดหวังและความไม่เต็มใจมันทำให้เขาตกลงไปในห้วงแห่งความรู้สึกผิด

การแต่งเพลงคือทุกอย่างสำหรับเบา แต่ในตอนนี้เขาเขากลับอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด แม้ว่าแต่เพลงธรรมดาๆ ออกมายังทำไม่ได้

เขาบอกฉันว่าทำนองที่เขาได้ยินมันมีเพียงแค่เสียงกรีดร้องและคำสาปแช่ง

แม้แต่อยากจะหายใจเขายังทำไม่ได้เลย เหมือนว่าเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผลที่แม้แต่ฉันยังไม่กล้าที่จะมอง...

แม้จะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังพยายามที่จะฝืนมือที่ไร้เรี่ยวแรงของเขา และพยายามที่จะเขียนลงไปบนกระดาษโน้ต

เขาพูดว่า "เดี๋ยวก่อนฉันกำลังสร้างผลงานชิ้นเอกอยู่ตอนนี้!"...

เขาเชื่อว่าเขาจะไร้ค่า ถ้าเกิดเขาไม่สามารถแม้แต่จะแต่งเพลงขึ้นมาได้ และเขาจะถูกฉันและคนอื่นๆ ทอดทิ้ง

เขาก็เลยตัดสินใจกัดมือของตัวเอง และแต่งเพลงขึ้นมาด้วยเลือดของตัวเอง

============================
มาแก้คำผิดของคาสะคุงแล้วนะคะ!